การพัฒนาคุณภาพของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคงแก่เด็กเล็ก สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา เป็นกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ เนื่องจากมีการพัฒนาตามกรอบมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม จากเดิมที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 8 แห่ง ได้มีการปรับโครงสร้างเหลือ 6 แห่ง โดยในจำนวนนี้มี 3 แห่งที่ได้รับการยกระดับให้เป็น “ศูนย์ต้นแบบ” และเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสวนหม่อน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนบ้านหลักร้อย และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเคหะประชาสามัคคี

เมื่อพิจารณาจากมุมมองของ นางจรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ เทศบาลนครนครราชสีมา ร่วมกับประสบการณ์ตรงของครูผู้สอน ได้แก่ นางวิไล ผดุงตาล ครูชำนาญการพิเศษรักษาการผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสวนหม่อน และ นางสาววีนัส วนะลุน ครูชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเคหะประชาสามัคคี จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของศูนย์ต้นแบบเหล่านี้ตั้งอยู่บนรากฐานของการบริหารจัดการบุคลากรอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการสรรหาและคัดเลือก การจัดโครงสร้างที่เหมาะสม การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การดูแลสุขภาพและสวัสดิการ ตลอดจนการสร้างครูแกนนำและผู้นำทางวิชาการที่มีคุณภาพ

ดังนั้น บทความนี้จะนำเสนอกลยุทธ์และกระบวนการบริหารจัดการบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้นแบบ ผ่านเสียงสะท้อนของผู้ปฏิบัติงานจริง เพื่อชี้ให้เห็นกลไกแห่งความสำเร็จที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสมต่อไป
1. การคัดเลือกบุคลากรของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา
การคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ตามข้อกำหนดของมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ครูผู้ดูแลเด็กควรมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาอนุบาลศึกษาหรือปฐมวัย หากไม่ได้จบตรงสาขาแต่มีวุฒิปริญญาตรีสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น จิตวิทยา แพทย์ พยาบาล สาธารณสุข คหกรรม ต้องมีการศึกษารายวิชาที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยอย่างน้อย 3 หน่วยกิต (ไม่ต่ำกว่า 45 ชั่วโมง) กรณีที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีไม่ตรงตามที่กำหนด ต้องมีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และผ่านการฝึกอบรมไม่ต่ำกว่า 45 ชั่วโมง โดยบุคลกรทุกคนต้องผ่านการตรวจสุขภาพร่างกายและจิตใจก่อนเริ่มปฏิบัติงาน
ในทางปฏิบัติ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยภายใต้ชื่อ “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก” ในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา ได้นำหลักการดังกล่าวมาใช้ โดยตำแหน่ง “ครู” จะรับเฉพาะผู้ที่สำเร็จการศึกษาสาขาปฐมวัย หรือมีวุฒิการศึกษาที่เกี่ยวข้อง ส่วนตำแหน่ง “ผู้ดูแลเด็ก” แม้จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่จบสาขาอื่นสมัครได้ แต่ต้องมีทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ตรงในการดูแลเด็ก ซึ่งจะถูกประเมินผ่านการสัมภาษณ์และการสาธิตการสอน การพิจารณาไม่ได้เน้นเพียงวุฒิการศึกษาเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับทัศนคติและความพร้อมในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาทุกแห่งยังมีระบบคัดกรองด้านสุขภาพอย่างเข้มงวด โดยมีการตรวจสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตประจำปี ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 9 และโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ แนวปฏิบัติเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์ตามเกณฑ์มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ แต่ยังสะท้อนการมุ่งเน้นคุณภาพทั้งในด้านสมรรถนะวิชาชีพและคุณภาพชีวิตของบุคลากร เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กเล็กจะได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
2. การคัดเลือกผู้บริหารหรือหัวหน้าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ได้กำหนดคุณสมบัติและบทบาทของผู้บริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ ต้องมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี สาขาอนุบาลศึกษาหรือปฐมวัย (หรือหากไม่ตรงตามสาขา ต้องมีประสบการณ์ทำงานด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี) มีความสามารถในการสนับสนุน กำกับ และติดตามการปฏิบัติงานของบุคลากร โดยจัดให้มีการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จัดกิจกรรมและประสบการณ์ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างบุคลากร และดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างเป็นรูปธรรม

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมามีการคัดเลือกผู้บริหารสอดคล้องกับกรอบมาตรฐานดังกล่าว โดยกำหนดว่าผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าต้องเป็นครูมาก่อน เพื่อรับประกันพื้นฐานวิชาชีพและความเข้าใจในกระบวนการจัดการศึกษาปฐมวัย อีกทั้งยังต้องได้รับการยอมรับจากเพื่อนครูในฐานะผู้มีความรู้ความสามารถและศักยภาพในการเป็นผู้นำทางวิชาการ ตัวชี้วัดสำคัญคือความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอน การออกแบบแผนการจัดประสบการณ์ และการถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคลากร
ในทางปฏิบัติ การคัดเลือกมักเริ่มจากการแต่งตั้งบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นระยะเวลา 1–3 ปี จากนั้นจะมีการติดตามและประเมินผลการทำงานอย่างต่อเนื่อง หากบุคคลนั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะได้รับการยืนยันให้ดำรงตำแหน่งต่อ แต่หากไม่เหมาะสมอาจมีการปรับเปลี่ยน โดยพิจารณาบุคลากรคนอื่นที่พร้อมมากกว่า การประเมินใช้วิธีการนิเทศและลงพื้นที่ของศึกษานิเทศก์ ซึ่งช่วยสะท้อนสมรรถนะและภาวะผู้นำจากสถานการณ์จริง ทำให้กระบวนการคัดเลือกหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีทั้งความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ
3. วิธีการจัดโครงสร้างบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็นระบบ
การจัดโครงสร้างบุคลากรเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากโครงสร้างที่ชัดเจนทำให้บทบาทหน้าที่ของบุคลากรถูกกำหนดไว้อย่างเป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อน และเอื้อต่อการบริหารจัดการเชิงคุณภาพ
สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา การจัดโครงสร้างเริ่มจากระดับ “สำนักการศึกษา” ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายกิจการโรงเรียนและหน่วยศึกษานิเทศก์ ฝ่ายกิจการโรงเรียนมีหน้าที่ดูแลทั้งโรงเรียนและสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยรับผิดชอบด้านการวางแผนงบประมาณ โครงการ และการจัดสรรบุคลากร ขณะที่หน่วยศึกษานิเทศก์ทำหน้าที่ดูแลงานมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา งานนิเทศการศึกษา ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาทางวิชาการ งานพัฒนาครู โดยมีศึกษานิเทศก์รับผิดชอบแยกตามระดับการศึกษา ทั้งระดับขั้นพื้นฐานและระดับปฐมวัย
ในระดับปฏิบัติการของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย จะมีตำแหน่ง “รักษาการผู้อำนวยการ” ทำหน้าที่เสมือนผู้บริหารสถานศึกษา โดยการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวพิจารณาจากคุณสมบัติ บุคลิกภาพ และศักยภาพความเป็นผู้นำ เพื่อให้สามารถกำกับดูแลและบริหารจัดการภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้อย่างมีประสิทธิผล โดยรักษาการผู้อำนวยการจะเป็นผู้แบ่งงาน กำหนดหน้าที่ และมอบหมายความรับผิดชอบแก่ครูและบุคลากรตามลักษณะงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับพันธกิจการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยรวม
4. การฝึกอบรมและพัฒนาครูให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด
มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ครูผู้ดูแลเด็กจำเป็นต้องเข้ารับการอบรมด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยไม่น้อยกว่าปีละ 20 ชั่วโมง เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนรู้และการดูแลเด็กเล็กอย่างมีคุณภาพ
แนวทางดังกล่าวถูกนำมาปรับใช้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาอย่างเป็นระบบ โดยมีการจัดอบรมอย่างต่อเนื่องปีละไม่น้อยกว่า 1–2 ครั้ง ผ่านทั้งการอบรมเชิงปฏิบัติการ การศึกษาดูงาน และการอบรมออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องปรับเข้าสู่การเรียนผ่านสื่อดิจิทัล ซึ่งมีการกำหนดขั้นตอนที่เข้มงวด เช่น ผู้เข้าอบรมไม่สามารถกดข้ามวิดีโอ ต้องเรียนจนครบทุกตอน ทำแบบทดสอบหลังจบ และได้รับประกาศนียบัตรยืนยันผลการเรียนรู้ ก่อนส่งรายงานต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อรับรองว่าชั่วโมงอบรมครบถ้วนตามเกณฑ์มาตรฐาน

เนื้อหาการอบรมครอบคลุมหลากหลายมิติ ทั้งด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การออกแบบแผนการสอน และการบูรณาการแนวคิดใหม่ ๆ เช่น การพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า (Executive Functions: EF) การใช้นิทานประกอบจังหวะดนตรี และการใช้สื่อสร้างสรรค์ในห้องเรียน โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาถ่ายทอดองค์ความรู้ ควบคู่กับการนิเทศและติดตามผล เพื่อให้ครูสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งช่วยให้ครูได้เห็นแนวทางปฏิบัติที่หลากหลาย และสามารถเลือกปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง การพัฒนาครูในลักษณะนี้ช่วยสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันของบุคลากรในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเครือข่าย ส่งผลให้ครูมีความพร้อมทั้งด้านวิชาการและการจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพการศึกษาปฐมวัยโดยรวม
5. การส่งเสริมสุขภาพบุคลากร
การส่งเสริมสุขภาพและการพัฒนาบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนคุณภาพการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กเล็กอย่างรอบด้าน บุคลากรที่มีสุขภาวะสมบูรณ์และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องย่อมสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้วยเหตุนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาจึงให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปีของบุคลากรทุกคน ไม่ว่าจะเป็นครู พนักงานจ้าง แม่ครัว หรือแม่บ้าน ฯลฯ โดยมีการกำหนดโปรแกรมการตรวจแตกต่างตามลักษณะงาน เช่น แม่ครัวต้องตรวจสุขภาพปอดและโรคติดเชื้อเพื่อความปลอดภัยด้านโภชนาการ ส่วนครูและบุคลากรทั่วไปต้องตรวจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามเกณฑ์มาตรฐาน ทั้งนี้ บุคลากรสามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิสวัสดิการข้าราชการหรือสิทธิประกันสังคม
ในระดับชุมชน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เทศบาลจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น กิจกรรมออกกำลังกายในสวนสาธารณะ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพร่วมกับชุมชนท้องถิ่น กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากร แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกับชุมชน ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการสนับสนุนและพัฒนาเด็กเล็กอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ได้กำหนดให้ครูและผู้ดูแลเด็กทุกคนต้องเข้ารับการอบรมหรือการประชุมในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง รวมถึงการเรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมและเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการอบรม เพื่อให้บุคลากรสามารถนำความรู้ไปใช้จริงในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสม
แนวทางดังกล่าวได้ถูกนำมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมา ผ่านการจัดอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อและการดูแลเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่พบเด็กออทิสติก เด็กสมาธิสั้น และพัฒนาการล่าช้ามากขึ้น หลักสูตรเหล่านี้ช่วยให้ครูมีทักษะในการสังเกตพฤติกรรมและสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการสอนในห้องเรียน ตลอดจนสื่อสารกับผู้ปกครองได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังมีการประยุกต์แนวคิดการสอนสมัยใหม่ เช่น การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High/Scope Approach) ที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) การจัดมุมประสบการณ์ที่กระตุ้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและเสริมสร้างพัฒนาการรอบด้านของเด็ก
นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมายังบูรณาการการใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ในการคัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียน ช่วยให้ครูมีข้อมูลเชิงประจักษ์สำหรับการประเมินพัฒนาการ และสามารถประสานกับหน่วยบริการสุขภาพเพื่อการดูแลและการส่งต่อได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันยังสร้างความร่วมมือกับครอบครัวผ่าน Parenting Program ที่จัดอบรมผู้ปกครองปีละ 4 โปรแกรม ประกอบด้วย
- โปรแกรม 1 : พัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยโดยมือพ่อแม่
- โปรแกรม 2 : ศักยภาพสมองของเด็กปฐมวัย
- โปรแกรม 3 : การสื่อสารเชิงบวกและวินัยเชิงบวก
- โปรแกรม 4 : ครอบครัวโภชนาการสร้างเด็กปฐมวัย “สูงดี สมส่วน”
เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางการเลี้ยงดูที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก


อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ โครงการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ (4D) ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมุ่งพัฒนาสุขภาพเด็กในสี่ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ ด้านโภชนาการและการเจริญเติบโต (Diet) การส่งเสริมด้านพัฒนาการเด็กและการเล่น (Development and Play) การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน (Dental) และด้านการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความปลอดภัยและปลอดโรค (Disease) โดยมีครู แม่ครัว และแม่บ้านเข้าร่วมอบรมอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เช่น วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก การจัดการของเล่นของเด็กที่เจ็บป่วย และแนวทางการดูแลรักษาความสะอาดห้องเรียน ตลอดจนการประสานงานกับผู้ปกครองเพื่อร่วมกันควบคุมโรค
ทั้งนี้ผู้สนใจ สามารถดาวน์โหลดเอกสารหรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High/Scope Approach), แนวทางการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ (4D) ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ และ คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ปฐมวัยไทยแลนด์ และเว็บไซต์ AnamaiMedia
กล่าวโดยสรุป การดำเนินงานด้านสุขภาพและการพัฒนาบุคลากรของเทศบาลนครนครราชสีมา ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานแห่งชาติ แต่ยังต่อยอดสู่การพัฒนาเชิงลึกที่ครอบคลุมทั้งบุคลากร ครอบครัว และชุมชน อันเป็นการทำงานเชิงบูรณาการที่นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษาของเด็กเล็กอย่างยั่งยืน
6. การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติกำหนดอัตราส่วนจำนวนครูต่อเด็กอย่างชัดเจน ดังตารางต่อไปนี้

การจัดบุคลากรให้ครบถ้วนตามเกณฑ์ดังกล่าวเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนรู้และความปลอดภัยของเด็กเล็กโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยมักเผชิญปัญหาการขาดแคลนครูจากการเกษียณอายุ การลาออก หรือการโยกย้าย ทำให้จำนวนบุคลากรในบางช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาได้กำหนดแนวทางเชิงรุก ที่ผสมผสานการวางแผนล่วงหน้ากับการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ เช่น เมื่อมีครูใกล้เกษียณ จะมีการส่งครูใหม่ลงมาปฏิบัติงานคู่ขนานอย่างน้อยหนึ่งเดือน เพื่อเรียนรู้บริบทและรูปแบบการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก รวมทั้งสืบทอดประสบการณ์และวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ การรับพนักงานจ้างทดแทนก็ถูกจัดให้อยู่ในแผนงานประจำของสำนักการศึกษา แต่หากไม่สามารถสรรหามาได้ทัน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอาจขอความร่วมมือจากเครือข่ายผู้ปกครองในการหาบุคลากรช่วยงานชั่วคราว ซึ่งในบางกรณีเป็นครูเกษียณที่ยังมีศักยภาพและจิตอาสา โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ปกครอง
อีกแนวทางหนึ่งคือการประสานความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาทั้ง 6 แห่ง หากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใดขาดบุคลากรชั่วคราว ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีบุคลากรครบถ้วนสามารถส่งครูไปช่วยสอนแบบหมุนเวียน จนกว่าจะมีการบรรจุหรือจัดสรรบุคลากรถาวรจากหน่วยงานต้นสังกัด การดำเนินงานลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ชุมชน และเครือข่ายศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่ เพื่อรักษามาตรฐานการดูแลเด็กเล็กให้คงอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
7. แนวทางการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาลนครนครราชสีมาได้รับผลการประเมินคุณภาพอยู่ในระดับ “ดีมาก” และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบางแห่งก้าวไปถึงระดับ “ดีเยี่ยม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพบุคลากรภายใน แต่การรักษามาตรฐานและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็เป็นโจทย์สำคัญในระยะต่อไป
แนวทางหลักในการพัฒนาบุคลากรในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คือการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับศักยภาพตนเอง โดยยึดหลักความสมัครใจและความพร้อมเป็นสำคัญ ไม่บังคับให้ครูทุกคนต้องเข้าร่วม แต่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความตั้งใจได้แสดงบทบาทผู้นำ และขยายผลการพัฒนาไปยังเพื่อนครูท่านอื่น ๆ โดยมีความเชื่อว่า การพัฒนาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเริ่มต้นจากการ “มองตนเองอย่างตรงไปตรงมา” ไม่เข้าข้างตนเอง แต่ใช้ผลการประเมินและตัวบ่งชี้ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติเป็นเครื่องมือในการทบทวนอย่างรอบด้าน หากบุคลากรเข้าใจความหมาย คำจำกัดความ และเกณฑ์การพิจารณาอย่างถ่องแท้ จะสามารถประเมินตนเองได้อย่างถูกต้องและนำผลดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

อีกปัจจัยสำคัญคือ “การรวมพลังของครู” เพราะงานพัฒนาไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความพยายามของบุคคลเพียงไม่กี่คน ครูทุกคนต้องเห็นความสำคัญของงานที่มีคุณภาพ เข้าใจว่าการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก็คือการพัฒนาเด็ก และหากขาดการมีส่วนร่วมก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ การสร้างความตระหนักรู้และแรงจูงใจจึงเป็นหัวใจที่จะขับเคลื่อนงานให้ยั่งยืน
ในอนาคต เมื่อครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตระหนักและพัฒนาตนเองจนเกิดความมั่นใจแล้ว ก็จะสามารถขยายผลต่อไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอื่นๆ ในเขตอำเภอเมือง โดยเริ่มจากพื้นที่ที่มีความพร้อมและบุคลากรที่มีใจเรียนรู้เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงใช้ครูแกนนำเหล่านี้เป็นผู้ถ่ายทอดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอื่น ๆ ต่อไป กลไกเช่นนี้จะทำให้เกิดการยกระดับคุณภาพอย่างเป็นเครือข่าย และสอดคล้องกับระบบการประกันคุณภาพทั้งภายในและภายนอกที่กำหนดไว้
การพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยไม่ใช่เพียงเพื่อตอบสนองต่อเกณฑ์มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ หากแต่เป็นการสร้าง “วัฒนธรรมคุณภาพ” ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของครู ผู้บริหาร และผู้ปกครองร่วมกัน เมื่อบุคลากรเห็นความสำคัญ เข้าใจบทบาท และทำงานด้วยหัวใจ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงจะสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด
ขอบคุณภาพประกอบ : เพจปฐมวัย Korat City, เพจศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสวนหม่อน, เพจสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยเคหะประชาสามัคคี
เอกสารอ้างอิง:
กรมอนามัย. (2566). คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM). สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2568 https://multimedia.anamai.moph.go.th/ebooks/dspm/
ปฐมวัยไทยแลนด์. (ม.ป.ป.). การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป สำหรับเด็กปฐมวัย. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2568 จาก https://ecd.onec.go.th/knowledge/manual/5153/
ปฐมวัยไทยแลนด์. (ม.ป.ป.). แนวทางการส่งเสริมคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านสุขภาพ (4D) ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ. สืบค้นเมื่อ 1 สิงหาคม 2568 จาก https://ecd.onec.go.th/knowledge/articles/4815/
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2562). มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.