
ข้อมูลประชากรไทย ปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 65,951,210 คน มีอัตราการเกิดต่ำกว่า 500,000 คน/ปี โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 462,240 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าอัตราการตายประมาณ 1 แสนคน และมีแนวโน้มอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (United Nations, UN) ได้จัดกลุ่มประเทศทั่วโลกที่มีอัตราการเกิดกำลังลดลง โดยไทยเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งประเทศที่อยู่ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว นักประชากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการคาดการณ์ว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะมีการเกิดที่ลดลงจนเหลือจำนวนประชากรเพียง 40 ล้านคน เฉลี่ยทุก 2 ปี ประชากรจะลดลง 1 ล้านคน ส่งผลกระทบต่ออัตราแรงงานที่จะหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมตามมา ดังนั้น อัตราการเกิดที่น้อยลงอย่างมากในทุกปีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากไม่มีการเตรียมความพร้อมหรือ
การเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ ย่อมส่งผลต่อวิกฤตประเทศชาติในอนาคตอย่างแน่นอน
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความท้าทายของจำนวนเด็กที่เกิดน้อยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ แต่การตัดสินใจที่จะมีลูกขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ สภาพสังคม ปัญหาครอบครัว และปัญหาด้านสุขภาพ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการมีบุตร รัฐบาลในหลายประเทศมีความพยายามจะสนับสนุนให้ประชากรของตนมีลูกเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะยังไม่สามารถทำให้อัตราการเกิดใหม่ของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากนัก
เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่มีอัตราการเกิดใหม่รวมต่ำที่สุดในโลก โดยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2015 จนปี 2023 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 230,000 คน ซึ่งน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลเกาหลีใต้ จึงประกาศ “ภาวะฉุกเฉินด้านประชากรศาสตร์” เป็นวาระระดับชาติ โดยมีแผนจัดตั้งกระทรวงยุทธศาสตร์และการวางแผนประชากร เพื่อกำหนดนโยบายเกี่ยวกับอัตราการเกิด สังคมผู้สูงอายุ ตลอดจนการย้ายถิ่นฐานของประชากรในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่
- การสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิต: รัฐบาลจะขยายระยะเวลาเงื่อนไขการลาให้ผู้เป็นพ่อสามารถเลี้ยงดูบุตร ตลอดจนการเพิ่มเบี้ยเลี้ยง
- การให้บริการดูแลเด็กสาธารณะ: จัดให้มีบริการดูแลเด็กสาธารณะสำหรับเด็กอายุ 3 – 5 ขวบ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะขยายหลักสูตรโครงการหลังเลิกเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา
- ข้อเสนอทางเลือกเพื่อลดเงื่อนไขในการซื้อบ้าน: ให้ครัวเรือนที่มีทารกแรกเกิดได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อบ้าน โดยรัฐบาลจะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่หนุ่มสาวที่จะแต่งงาน
นอกจากนี้ ยังออกนโยบายส่งเสริมการมีบุตร โดยมอบบัตรกำนัลมูลค่า 2 ล้านวอน (ประมาณ 5 หมื่นบาท) ให้กับคู่สามีภรรยาที่มีบุตรคนแรก และอีก 3 ล้านวอนสำหรับบุตรคนต่อไป อีกทั้ง รัฐบาลยังเพิ่มงบอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร และการเลี้ยงดูบุตรเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งผ่านนโยบายนี้ไปยังภาคธุรกิจเอกชน โดยมีมาตรการทางภาษี ถึงขั้น “ปลอดภาษี” สำหรับบริษัทเอกชนที่มีพนักงานตั้งครรภ์ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้พากันออกมาขานรับนโยบายนี้ และพากันสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น เพื่อให้พนักงานมีความสมดุลระหว่างงานและความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตร กลุ่มบริษัทรายใหญ่ของเกาหลีใต้ได้ขยายโครงการสวัสดิการพนักงาน โดยครอบคลุมการสนับสนุนการดูแลเด็กทั้งหมด ตั้งแต่การตั้งครรภ์ไปจนถึงการเลี้ยงดูเด็ก นอกเหนือจากการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร หรือการให้ทุนการศึกษา เช่น
- โบยังกรุ๊ป (Booyoung Group) บริษัทด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มอบเงินจำนวน 100 ล้านวอน (2.6 ล้านบาท) เพื่ออุดหนุนพนักงานในการเลี้ยงดูบุตรต่อคน ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการมีลูก
- โพสโค (POSCO) บริษัทอุตสาหกรรมเหล็ก มีนโยบายให้เงินสนับสนุนพนักงานที่คลอดบุตรมูลค่า 3 ล้านวอน (หรือราว 80,000 บาท) และยังให้เงินอีก 5 ล้านวอน (หรือราว 134,000 บาท) สำหรับลูกคนที่สอง นอกจากนี้ บริษัทยังอนุญาตให้พนักงานลาหยุดสำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งบริษัทจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วย รวมทั้งพนักงานยังมีสิทธิทำงานที่บ้านระหว่างดูแลบุตร โดยพนักงานที่มีลูกอายุต่ำกว่า 9 ปี สามารถทำงานจากที่บ้านได้ทั้งวันหรือครึ่งวัน พร้อมกับเปิดศูนย์รับเลี้ยงเด็กอีกด้วย
- ซัมซุง (Samsung) บริษัทยักษ์ใหญ่ในเกาหลีใต้ สร้างศูนย์เด็กเล็กใหญ่ที่สุด ที่ Samsung Digital City ในซูวอน จังหวัดคยองกี โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับเด็กได้มากถึง 1,200 คน
นโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล ทำให้ภาคเอกชนรับรู้ถึงวิกฤติของประเทศในครั้งนี้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่มีอัตราการเกิดต่ำ ไม่เพียงแค่รัฐบาลเท่านั้นที่ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา แต่บริษัทต่าง ๆ จำเป็นจะต้องยื่นมือเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ในปี 2024 สำนักงานสถิติเกาหลีใต้รายงานว่า มีทารกเกิดใหม่ทั้งหมด 238,300 คน เพิ่มขึ้น 3.6% จากระดับต่ำสุดที่ 230,000 คนในปี 2023 ทำให้อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี ซึ่งเกิดจากจำนวนการแต่งงานที่เพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิด ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ และการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจจะเกิดมาจากการตระหนักถึงความสำคัญและวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้นของทุกภาคส่วนในประเทศ การมีนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล รวมทั้งการให้ความร่วมมือและส่งเสริมสนับสนุนจากภาคเอกชน
ถึงเวลาแล้วหรือยัง! ที่ประเทศไทยจะให้ความสำคัญกับวิกฤตจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่น้อยลงทุกปี รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมและร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหานี้ และอีกประเด็นที่ท้าทายคือ “ทำอย่างไรให้จำนวนเด็กที่เกิดน้อยลงมีคุณภาพ” จำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในทุกมิติเพื่อพัฒนาเด็กที่เกิดมาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคตต่อไป
เอกสารอ้างอิง:
สำนักนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2568). วิกฤต! จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลงทุกปี. สืบค้น 20 พฤษภาคม 2568, จาก https://ecd.onec.go.th/childhood/situation/10279/