
การวิเคราะห์ช่องว่างและอุปสรรคในการดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย
การดูแลและพัฒนาเด็กปฐมวัยถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างทุนมนุษย์ในระยะยาว เด็กในช่วงอายุแรกเกิด ถึง 5 ปี เป็นช่วงวัยที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคม หากเด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น ย่อมมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังคงพบช่องว่างและอุปสรรคหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กเล็ก โดยมีความเชื่อมโยงซับซ้อนทั้งจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ไม่ทั่วถึง รวมถึงระบบดูแลเด็กที่ยังขาดมาตรฐาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นรากเหง้าที่ทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับโอกาสในการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ



หนึ่งในช่องว่างสำคัญที่สุดคือปัญหาภาวะทุพโภชนาการ เด็กไทยอายุ 0–5 ปียังคงเผชิญภาวะแคระแกร็น ผอมแห้ง และน้ำหนักเกินในสัดส่วนที่น่าเป็นห่วง โดยมีอัตราแคระแกร็นร้อยละ 12.86 ผอมแห้งร้อยละ 6.18 และน้ำหนักเกินร้อยละ 9.29 ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง เด็กในครัวเรือนรายได้น้อยมีแนวโน้มประสบภาวะแคระแกร็นและผอมแห้ง ขณะที่เด็กจากครัวเรือนรายได้สูงกลับเผชิญปัญหาน้ำหนักเกิน นอกจากนี้ยังพบความแตกต่างระหว่างภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนเด็กแคระแกร็นสูงกว่า ขณะที่ภาวะน้ำหนักเกินพบมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร โภชนาการ และทรัพยากรพื้นฐานของครัวเรือน รวมทั้งความไม่เท่าเทียมในโอกาสการได้รับการดูแลที่เหมาะสม

นอกจากปัญหาโภชนาการแล้ว การมีพัฒนาการล่าช้ายังเป็นอีกหนึ่งช่องว่างที่ต้องให้ความสำคัญ เด็กไทยจำนวนมากมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย โดยข้อมูลจากการคัดกรองพัฒนาการของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า เด็กที่มีพัฒนาการเหมาะสมมีเพียงร้อยละ 79.2 ขณะที่ดัชนีพัฒนาเด็กปฐมวัย (ECDI 2030) ชี้ว่า เด็กอายุ 24–59 เดือนเพียงร้อยละ 77.8 ผ่านเกณฑ์ด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และสุขภาวะทางจิตสังคม ปัญหานี้พบมากในเด็กที่อาศัยในครัวเรือนรายได้น้อย เด็กในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน รวมถึงเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษาปฐมวัยหรือมีผู้ปกครองที่มีการศึกษาต่ำ สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า การกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่วัยแรกเกิดยังครอบคลุมไม่เพียงพอ ทั้งในบริบทครอบครัวและระบบบริการรัฐ
เมื่อพิจารณาอุปสรรคที่เป็นตัวขัดขวางการพัฒนาเด็กปฐมวัย พบว่าปัจจัยสำคัญคือความช่วยเหลือทางสังคมที่ยังไม่เพียงพอ ครอบครัวจำนวนมาก โดยเฉพาะครัวเรือนยากจน ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในการเลี้ยงดูเด็กเล็ก ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนเพื่อเด็กเล็ก การลาคลอดและลเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับค่าจ้าง หรือการเข้าถึงบริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพ เมื่อครอบครัวไม่มีทรัพยากรเพียงพอ เด็กย่อมเสี่ยงต่อการขาดอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนขาดสื่อหรือกิจกรรมที่จำเป็นต่อการส่งเสริมพัฒนาการ เช่น หนังสือ ของเล่น หรือการจัดกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ นอกจากนี้ การขาดบริการดูแลเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ รวมทั้งการขาดการส่งเสริมการเลี้ยงดูเชิงบวก เช่น การให้นมแม่ การอ่านหนังสือให้เด็ก การเล่นที่เหมาะสม และการดูแลโดยไม่ใช้ความรุนแรง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่กระทบต่อสุขภาวะทางร่างกายและจิตใจของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงกล่าวได้ว่า การแก้ไขปัญหาช่องว่างและอุปสรรคในการดูแลเด็กปฐมวัยเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ภาคเอกชน ชุมชน และครอบครัวเอง การยกระดับคุณภาพโภชนาการ พัฒนาการ และระบบการสนับสนุนครอบครัว จะช่วยให้เด็กทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตอย่างเท่าเทียมและมีศักยภาพในการเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต หากประเทศไทยต้องการสร้างสังคมที่แข็งแกร่งและยั่งยืน การลงทุนในเด็กปฐมวัยคือสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
เอกสารอ้างอิง:
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย. (2568). การพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย การศึกษาช่องว่าง อุปสรรค และทางเลือกเชิงนโยบาย. ยูนิเซฟ ประเทศไทย. https://shorturl.asia/1IxTv